นกพิราบ

          เป็นนกพื้นบ้าน ซึ่งได้รับการเพาะเลี้ยงด้วยจุดประสงค์ต่างๆกันมากว่า 3000 ปี สืบเชื้อสายมาจาก Rock dove หรือ Rock pigeon ซึ่งอาศัยอยู่ตามหน้าผาหินและแตกแขนงสายพันธุ์รูปลักษณ์ ไปตามท้องถิ่นต่างๆ ทั่วทั้งทวีปยุโรปและเอเชีย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ columba livia สำหรับในประเทศไทย นกพื้นบ้านเหล่านี้ ได้แก่นกพิราบตามท้องไร่ท้องนา ซึ่งต่อมาได้ปรับตัวเข้ามาอยู่ในเมือง ตามอาคารบ้านเรือน วัดวาอารามต่างๆ และอีกชนิดหนึ่งที่รู้จักกันดีก็คือ นกเขาที่มีเสียงขันที่ไพเราะนั่นเอง

จุดประสงค์ในการเพาะเลี้ยงนกพิราบ มีอยู่ 4 ประการ

          1.การเพาะเลี้ยงเพื่อคัดเอาความสามารถในการบิน ( flying ability ) เช่น การบินทน บินเร็ว บินฉวัดเฉวียน บินโฉบ และความสามารถในการบินกลับกรง (homing) ซึ่งได้แก่นกพิราบพันธุ์สื่อสาร หรือนกพิราบแข่งนั่นเอง

          2.การเพาะเลี้ยงเพื่อคัดเลือกเสียงขันที่ไพเราะ ซึ่งได้แก่นกเขาชนิดต่างๆ นกTrumpeters นก laughers

          3.การเพาะเลี้ยงเพื่อความสวยงามของรูปร่างหน้าตาและสีขน ( Fancy pigeon ) เช่น นกพิราบหางแพน ( fantail ) นก jacobin

          4.การเพาะเลี้ยงเพื่อชำแหละเป็นนกเนื้อ เช่น พันธุ์ king พันธุ์ carneau พันธุ์ texan และที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็คือ พันธุ์ roman ซึ่งมีน้ำหนักตัวประมาณ 1.5-2.5 กก.

สีของนกพิราบ

          สีพื้นฐานของนกพิราบ มีอยู่ 5 สี คือ

          1. สีเทาฟ้าที่มีแถบดำ 2 เส้นพาดขวางบริเวณปีกทั้งสองข้าง (blue-bar) เป็นสีพื้นฐานที่พบมากที่สุด

          2. สีกระ (checker,check) ลักษณะพื้นฐานคล้ายสีเทาฟ้าแต่มีหย่อมสีดำกระจายทั่วปีก ถ้าหย่อมสีดำหนาแน่นเรียกว่าสีดำกระ (dark blue check) ถ้าไม่หนาแน่นเรียกว่าสีเทากระ (blue check)

          3. สีโกโก้ (ash red and brown) เป็นสีที่พบได้น้อย สำหรับนกสีโกโก้ที่มีแถบสีโกโก้เข้ม 2 เส้นพาดขวางบริเวณปีกทั้งสองข้างเราจะเรียกว่า red bar

          4. สีดำ (black) เป็นสีที่พบได้น้อยเช่นกัน ลักษณะสีดำสนิททั้งตัว

          5. สีขาว (white) เป็นสีที่พบได้น้อย เกิดจากการผ่าเหล่า (mutation) ของนกสีต่างๆที่กล่าวมาแล้ว เป็นนกเผือกคือสีขาวปลอดทั้งตัวและดวงตาจะมีสีไม่เหมือนนกพิราบปกติแต่จะเป็นสีดำทึบ (dark or bull's eye)

การสังเกตุเพศ

ตัวผู้
ตัวเมีย
หัว
ใหญ่และกว้าง
เล็กและเรียว
ปาก
สั้นและหนา
ยาวและเรียว
จมูก
ใหญ่และหนา
เล็กและเรียว
รูปร่าง
ใหญ่และบึกบึน
เพรียวบาง
การขัน
ขันเสียงดังเมื่อพบตัวเมีย พร้อมๆกับผงกหัวขึ้นลง และแพนหางลง
ไม่ขัน

 

การเพาะเลี้ยง

          นกพิราบสามารถจับคู่ผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์และสภาพแวดล้อม สามารถออกไข่ฟักลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะสมคือช่วงที่ไม่มีฝน นกพิราบไม่ชอบทำรังบนต้นไม้ เนื่องจากมันสืบสายพันธุ์มาจากนกที่อยู่ตามผาหิน ดังนั้น มันจึงชอบทำรังบนพื้นแข็งที่เป็นช่องหรือซอ¡ เช่น ใต้ชายคาบ้าน ใต้หลังคาหรือซอกอาคาร ของโบสถ์ วิหาร สำหรับผู้เพาะเลี้ยงสามารถหาจานไข่สำเร็จรูปที่ทำจากปูนปลาสเตอร์ แล้วใส่ใบไม้แห้ง เศษฟาง หรือ ทรายแห้ง เพื่อรองบริเวณก้นจาน ตัวเมียจะวางไข่หลังจากเข้าคู่แล้วประมาณ 10 วัน ไข่ใบแรกมักจะออกในช่วงเย็นประมาณ 17.00-18.00 น. ไข่ใบที่สองจะออก 2 วันต่อมา และมักจะออกในช่วงบ่ายเวลาประมาณ 15.00-17.00 น. หลังจากไข่ครบ 2 ใบแล้ว ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะผลัดกันฟักไข่ โดยตัวผู้จะกกในช่วงเวลา 10.00-17.00 น. นอกนั้นตัวเมียจะกกเอง ประมาณ 18 วัน ลูกนกจะฟักออกจากไข่ทีละใบห่างกัน 1 วัน ทั้งพ่อนกและแม่นกจะช่วยกันป้อนอาหารให้แก่ลูกนก โดยในช่วงสัปดาห์แรก พ่อและแม่นกจะขย้อนสารอาหารที่มีโปรตีนสูง ลักษณะคล้ายน้ำนมที่เรียกว่า pigeon milk ให้กับลูกอ่อน และจะค่อยๆทดแทนด้วยเมล็ดธัญญาหารเมื่อลูกนกโตขึ้น ขนลำตัวและขนปีกจะงอกเต็มที่เมื่อลูกนกอายุได้ 35 วัน สำหรับนกเลี้ยง เรามักจะใส่ห่วงขานกในขณะที่เป็นลูกอ่อน หลังออกจากไข่ประมาณ 5-7 วัน ห่วงขาที่ใส่จะติดตัวนกไปตลอดชีวิตและไม่สามารถถอดหรือเปลี่ยนได้ ตัวห่วงจะบอกปี คศ. ที่นกเกิด ลำดับตัวเลขที่ไม่ซ้ำกัน และชื่อย่อสมาคมนกพิราบที่ผลิตห่วงออกจำหน่าย

อาห

          นกพิราบเป็นนกที่กินเมล็ดธัญญพืช เช่น ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง เมล็ดทานตะวันดำ และกินกรวดหรือเศษอิฐเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร เปลือกหอยป่นก็เป็นสารอาหารที่จำเป็น โดยเฉพาะสำหรับลูกนกที่กำลังเจริญเติบโตและต้องการแคลเซี่ยมเพื่อการสร้างกระดูก การให้อาหาร ควรให้เป็นเวลา วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น น้ำดื่มที่สะอาดควรจัดเตรียมเอาไว้ในกรงให้นกได้ดื่มตลอดเวลา กรง ขนาดและรูปแบบของกรงจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของนกพิราบที่เลี้ยง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ สภาพภายในกรงจะต้องแห้ง ไม่เปียกชื้น เพราะความเปียกชื้นเป็นบ่อเกิดของโรคชนิดต่างๆที่จะทำให้นกพิราบป่วยและตายได้ กรงควรจะโปร่งลมถ่ายเทได้สะดวก แดดสามารถส่องเข้าไปในกรงได้ในบางช่วงของวันและถ้าเป็นแดดในช่วงเช้าจะดีที่สุด

1 1